21

เราต้องยอมรับว่า ดนตรีและจังหวะ มีส่วนช่วยในการจักระบบคลื่นสมองและกระตุ้นการพัฒนาภายในของระดับจิตไร้สำนึก จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตเหนือสำนึก

 

  1. จิตไร้สำนึก (Unconscious)

คือ สภาวะของส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งฝังตัวข้างล่างสุดของส่วนของภูเขาที่อยู่ใต้ก้นบึ้งของท้องทะเล พบในสภาวะของมนุษย์ที่ป่วยหนักหรือสลบ แล้วเกิดการละเมอเพ้อพกขึ้นมา ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว

  1. จิตสำนึก (Conscious)

คือ สภาวะของความปกติที่มนุษย์แสดงออกมาในเชิงความคิด คำพูด การแสดงออกและการกระทำ ตามเอกลักษณ์เฉพาะตนซึ่งมีสภาวะของจิตใต้สำนึกกำกับอยู่โดยไม่รู้ตัว เปรียบเสมือนสภาวะของส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำของภูเขาน้ำแข็งที่แสดงตัวตนออกมา

  1. จิตใต้สำนึก (Subconscious)

คือ สภาวะของรอยฝังจำที่จดบันทึกการรับรู้ตลอดเวลาของความทรงจำหรือสัญญาในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ของบุคคลนั้นไว้อย่างครบถ้วน โดยไม่แยกแยะสิ่งต่างๆ ที่จดจำหรือรับรู้ในระบบที่ถูกต้องหรือดีงาม เพียงแต่เก็บรวบรวมข้อมูลและพฤติกรรมการรับรู้หมดของมนุษย์ผู้นั้นไว้อย่างต่อเนื่อ งครบครัน จากนั้นก็นำข้อมูลหรือข้อความรับรู้ทั้งหมด มาถ่ายทอดและแสดงออกมาในเชิงพฤติกรรม และความเข้าใจแห่งชีวิตในระดับจิตสำนึกของชีวิตประจำวันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการสะท้อนกลับของการรับรู้ในระดับสามัญสำนึกกับสัญญาสะสมที่เก็บไว้จากอดีตอันยาวนาน โดยมีจิตหรือสมองเป็นกลไกในการสั่งการทางพฤติกรรมแห่งชีวิตและการกระทำของคนๆ นั้น จากความเข้าใจที่เคยจดจำหรือบันทึกเอาไว้นั่นเอง

 

  1. จิตเหนือสำนึก (Super conscious)

คือ วิวัฒนาการของพฤติกรรมและกลไกการรับรู้ของจิตที่ได้ผ่านขั้นตอนของการฝึกฝนอบรมจิตหรือประสบการณ์ของสมอง ที่เกิดการกลั่นกรองจากข้อมูลและการรับรู้ภายในซึ่งสะสมกระบวนการทัศน์ทางสติปัญญา จนทำให้จิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก และจิตในระดับสามัญสำนึก หรือจิตสำนึก เกิดสภาวะความหยั่งรู้หรือความเข้าใจอันแยบคาย ลึกซึ้ง ถึงขั้นเกิดญาณปัญญาสูงส่ง ที่จะเข้าใจสัจธรรมหรือความจริงในระดับความถูกต้อง ดีงาม ชัดเจน จนถึงระดับขั้นความจริงแท้ในระดับมนุษย์ หรือภูมิปัญญาสร้างสรรค์ ซึ่งกระบวนการทัศน์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ จากการพัฒนาสมองหรือจิตที่ได้รับแรงกระตุ้นในระดับ (Mind & Brain Evolution System) เท่านั้น

 

            การวิวัฒนาการในระดับจิต และสมองที่ ดร.โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ เรียกว่าความฉลาด ด้านที่ 9 หรือ Existential Spiritial Intelligence นี้ คือการหยั่งรู้ทางสติปัญญา และความเข้าใจในชีวิตอันสูงส่ง จะมีได้ในการสั่นสะเทือน ทางมิติแห่งคลื่นสมอง (Brian Wave) ในระดับความสั่นไหว (Vibration) และความถี่ (Frequency) เท่านั้น

            แน่นอนที่สุด !!!

          สมองของมนุษย์คือจิตสำนึกที่รู้ของจักรวาลน้อยๆ (Microcosmos) กับสถาวะสูงสุดของจักรวาล (Macrocosmos) ที่ปัจจุบันเราใช้ศักยภาพของความรับรู้ทางจิตและสมองได้ในระดับ 7 % ส่วนศักยภาพที่หลงเหลืออีกถึง 93 % มีแต่เพียงกระบวนการสูงสุดทางระบบสมอง (Super Brain Charger) เท่านั้น ที่ใช้คลื่นเสียงดนตรีและความถี่ใรการวิวัฒนาการทางจิตได้อย่างแท้จริง

            ว่ากันว่าที่ศุนย์วิจัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยอะกิตะ (Akita) โดยศจ.นพ.ยูทากะ โมโตฮาชิ (Yutaka Motohashi) ที่ญี่ปุ่น พบว่า การสื่อสารของเซลล์ประสาทที่อยู่ 1 แสนล้านเซลล์จะเชื่อมต่อกันด้วยสารสื่อนำประสาทด้วยความถี่ของคลื่นสมอง High Band Alpha ระดับ 10 Hz -13 Hz ซึ่งจะมีภาวะของความตื่นตัวและการเรียนรู้จดจำอย่างมีประสิทธิภาพ

 

            เซลล์ประสาท หรือที่เรียกว่านิวรอน (Neuron) นั้นมีถึงจำนวน 1 แสนล้านเซลล์ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยการสื่อนำประสาทหลากหลาย ชนิดเปรียบประดุจเครือข่ายใยเซลล์ประสาทที่จะทำให้เกิดวิวัฒนาการอันหลากหลายของมนุษย์ที่มีเหนือล้ำกว่าสัตว์ชนิดอื่นถึง 600 ชนิด ในข้อมูลที่สนับสนุนนโดย www.soypeptide.org ได้ยืนยันว่า

            “สมองคนเรานั้นทำงานโดยคลื่นสมองลื่นสมอง แต่ก่อนจะเกิดคลื่นสมองได้นั้นเริ่มจากกระบวนการทางเคมีหรือการสร้างสารสื่อนำประสาทที่เรียกว่า Neurotransmitter ซึ่งเมื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทจะเกิดคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กเดินทางไปตามเส้นประสาทจากตัวเซลล์ประสาทหนึ่งไปสุดทางที่เชื่อมต่อกับอีกเซลล์หนึ่งเมื่อต้องการเชื่อมต่อข้อมูลหรือคำสั่งก็หลั่งสารสื่อนำประสาทเพื่อส่งต่อข้อมูลต่อไปเมื่อคำสั่งหรือข้อมูลข้ามไปเซลล์ประสาทถัดไปแล้วจะมีการทำลายสารสื่อนำประสาทที่เพิ่งเชื่อมทิ้งไป นี่เองคือที่มาว่าเราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ และกระไฟฟ้าขนาดเล็กที่เกิดขึ้นนี่เองที่เราสามารถวัดคลื่นสมองได้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า EEG หรือ ELECTROENCEPHALOGRAPH และบันทึกเป็นกราฟคลื่นสมองเพื่อวิเคราะห์การทำงานของสมองและสภาวะของสมอง การวินิจฉัยคลื่นสมองนั้นมีความยากกว่าคลื่นหัวใจมากตรงที่คลื่นหัวใจมีเพียงแค่เส้นเดียว แต่คลื่นสมองวัดกันทีเดียว 16-20 เส้น โดยจะวิ่งไปพร้อมๆ กัน ตาเราต้องแยกให้เร็วและอ่านให้ทัน การค้นพบคลื่นสมองในมนุษย์ครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1920 โดยนายแพทย์ Hans Berger ชาวเยอรมัน ซึ่งพบคลื่นสมองเป็นครั้งแรก เรียกว่า คลื่นสมองอัลฟ่า

 

            คลื่นสมองที่วันนี้ทางการแพทย์เราเข้าใจบทบาท คือ คลื่นสมอง 4 ชนิด ได้แก่ คลื่นสมองเดลต้า (Delta) ความถี่ต่ำสุด 0.5 – 4 Hz เป็นสภาวะที่สมองหลับสนิทใช้พลังงานน้อยที่สุด ความถี่ 4 – 7Hz เป็นช่วงที่สมอง ง่วง ซึม เคลิ้มหลับ หรือใกล้ตื่นเรียก คลื่นสมองทีต้า (Theta) เป็นคลื่นสมองรอยต่อระหว่างหลับและตื่นนี้เป็นช่วงที่สมองกำลังทำงานและมีจิตใต้สำนึกออกมา

            แต่คลื่นสมองที่มีบทบาทในชีวิตการเรียนและการทำงานในเวลาที่เราตื่นคือ คลื่นสมองอัลฟ่า (Alpha) ที่มีความถี่ระหว่าง 8 – 13Hz เป็นช่วงคลื่นที่สมองเราอยู่ในสภาวะที่กำลังผ่อนคลายแต่ตื่นตัว เป็นช่วงสมองที่จะคิดสร้างสรรค์ หรือเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วเป็นช่วงที่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและทำการตัดสินใจที่ซับซ้อนได้ แต่หากคลื่นสมองมีความถี่สูงกว่านี้คือ 14 – 30Hz เรียกว่า คลื่นสมองเบต้า (Beta) ซึ่งช่วงคลื่นนี้ สมองอยู่ในสภาวะเครียดกระวนกระวายใช้พลังงานมากจนเหนื่อยล้า สมองเครียดจนสับสนคิดอะไรไม่ออก

            คลื่นสมองอัลฟ่า จัดเป็นช่วงคลื่นสมองที่มีความผ่อนคลายแต่ตื่นตัว สภาวะสมองที่ผ่อนคลายนั้นเราถือว่าสมองมีความพร้อมในการทำงานด้วยสมองเต็มที่ ต่อมาได้มีการแยกสมองอัลฟ่าออกเป็น 2 ช่วง คือ คลืนสมองอัลฟ่าความถี่ต่ำ 8 – 10Hz เป็นสภาวะที่นสมองผ่อยคลายความแต่ความตื่นตัวน้อยกว่าคลื่นสมองอัลฟ้าความถี่สูง 10 -13Hz ซึ่งจะมีความพร้อมของสมองและตื่นตัวสูงกว่า เป็นช่วงที่เราต้องการ เพราะที่สภาวะความถี่คลื่นสมองอัลฟ่านี้ สมองจะผ่อนคลายมีความพร้อมและตื่นตัวสูงเหมาะกับการเรียนรู้ จดจำ การคิดสร้างสรรค์ การมีสมาธิจดจ่อเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและการาตัดสินใจที่สลับซับซ้อน ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าคลื่นสมอง Alpha มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับสมรรถนะและประสิทธิภาพการทำงานของสมอง แม้แต่นักกีฬาฝีมือดี จากการศึกษาพบว่าสมองพวกนี้มี Alpha Brain Wave สูง  ในสมองซีกซ้ายจำนวนมาก เป็นการอธิบายให้เห็นถึงทักษะที่เกิดขึ้นในสภาวะสมองอัลฟ่า

            อย่างไรก็ตามในตการทำงานของสมอง ที่ขาดไม่ได้เลยคือออกซิเจน พลังงานในรูปของกลูโคสซึ่งต้องใช้ประมาณ 25% ของน้ำหนักตัวและที่สำคัญคือ สารสื่อนำประสาทนานาชนิด ที่สร้างมาจากกรด    อะมิโนที่ร่างกายทำการเปลี่ยนแปลงและพวกที่นำมารวมกันเป็นนิวโรแปปไทด์ ซึ่งล้วนต้องได้จากการกินและย่อยโปรตีนที่มีในอาหาร โดยจากโปรตีนจนมาเป็นสารสื่อนำประสาทหลากชนิดอาจจะประมาณว่าใช้เวลา 10 ชั่วโมงขึ้นไป

            จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าการทำงานของสมองนั้นซับซ้อนและที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสั้นๆ และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้คนแต่ละคนมีคุณค่าที่หลากหลายก็เกิดจากผลงานที่ออกมาจากสมอง

            คนเราแต่ละคนเกิดมามีเวลาเท่าเทียมกัน การที่เราเต่ละคนจะสามารถทำงานด้วยสมองด้วยสมรรถนะและประสิทธิภาพที่ดี และใช้ประโยชน์จากเวลาที่ได้มากกว่ากันจึงย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และที่สำคัญคงต้องการให้สมองอยู่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกับเราตลอดไป”

            ดังนั้นการวิจัยสมัยใหม่พบว่า เราสามารถกระตุ้นสภาวะคลื่นสมองระดับ High Band Alpha ด้วยสารอาหารอย่าง Original soy Peptide นวัตกรรมสารอาหาร สำหรับสมองได้ในวิธี 1 นี้

            ส่วนวิธีที่ 2 นั้นได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ว่า คลื่นดนตรี คลื่นเสียง หรือ คลื่นความถี่ทางสมอง (Brain Wave Sound) สามารถกระตุ้นหรือยกระดับการพัฒนาการของสมองและจิตมนุษย์ให้ก้าวพ้นขีดจำกัดอย่างในอดีตสู่อนาคตที่แสนมหัศจรรย์

 

 

หนึ่งในวิธีที่แก้ปัญหาระบบจิตที่ติดค้างได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด คือ การโค้ชส่วนตัวด้วยพลังจิต การโค้ชส่วนตัวเป็นการรีวิวและแก้ระบบจิตด้วยการให้จิตของผู้ถูกโค้ชเข้าไปมองเห็นเหตุของปัญหานั้นด้วยตนเองและร่วมกันแก้ปมปัญหาเหล่านั้นกับนักโค้ช ซึ่งในระหว่างกระบวนการ ผู้รับการโค้ชจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจากการสะกดจิตที่ผู้เข้ารับกระบวนการจะต้องเข้าสู่ภวังค์

ดังนั้นวิธีที่ใช้ในกระบวนการโค้ชส่วนตัวจะเป็นเทคนิคของการแก้ปมปัญหาและสั่งจิตซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ The Master Coach Academy ที่มีศาสตร์และศิลป์ในการเปลี่ยนระบบจิตในรูปแบบเฉพาะตัว

 

พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่สนใจโค้ชส่วนตัวกับท่านอาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข โดยตรง หลังจากที่ท่านอาจารย์เดินทางไปฝึกฝนจิต ที่ยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือน ที่The The Master Coach Academy​

 

โทร.061-362 8796,098-459 4996
Line Id:092 365 6554

 

คอร์สออนไลน์ ตั้งรหัสจิตดึงดูดความสำเร็จ https://goo.gl/wQpfDk

คัมภีร์โค้ชส่วนตัว : https://goo.gl/672CzH

 

 

The Master Coach Academy
2/1 ซ.ประดิพัทธ์ 10,ถ.ประดิพัทธ์ สี่แยกสะพานควาย กรุงเทพฯ 10400
โทร 092-365 6554,098-459 4996 
เวลาทำการ [ อังคาร – ศุกร์ เวลา 10:00 – 18:00 ] [ เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09:30 – 18:00 ]